 
                    ทำงานเร็วขึ้น
เนื่องจากไม่ต้องพกแว่นถึง 2 อัน (ไม่ต้องเปลี่ยนไปมาระหว่างแว่นอ่านหนังสือและดู TV) ไม่ต้องกังวลแว่นหายไม่เสี่ยงแว่นหายจากแว่นหลายอัน ประหยัดเงินและเวลา
 
เสริมสร้างบุคลิกภาพ
ความสวยงาม เลนส์ที่ไร้รอยตัว มีความสวยงามมากกว่า เสริมสร้างบุคลิกภาพเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น (ไม่ต้องมองลอดแว่น หรือทำแว่นตกๆ)
 
ชัดทุกระยะ
ความคมชัดภาพในเสี้ยววินาที ภาพไม่กระโดดไปมาเหมือนแว่น 2 ชั้นหรือชั้นเดียว คุณภาพชีวิตดีขึ้นเพราะเลิกปวดหัวกับแว่นเดิมๆ มีความรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง สายตาดีอีกครั้ง
แว่นอ่านหนังสือ
 
 
เล่นหุ้นใส่แว่นอ่านหนังสือ มือถือชัด
 

แต่พอเอาไปมองคอมเบลอหมด
 

พอกลับมาเล่นมือถือชัด
แว่นโปรเกรสซีฟ

มองโทรศัพท์ (ชัด)
 

ไปมองคอมก็ชัด (ชัด)
 

มองหลังคอมพิวเตอร์ก็ชัด (ชัด)
ต้องเข้าใจสายตายาว อ่านหนังสือก่อนนะครับ

ถ้าเป็นคนสายตาปกติ ถ้าเรามองไกลแสงจะตกอยู่ที่บนจอเรตินาพอดี
 

เวลาเรามองอะไรใกล้ๆ แสงจะถูกผลักไปข้างหลังจอเรตินา จากจุด 2 ไปจุด 1 และเมื่อตกหลังจอเรตินา ถ้าไม่มีการปรับโฟกัส ภาพจะเบลอ
 

 
แต่ร่างกายมีการปรับโฟกัส ทำให้สามารถดึงแสงกลับมาด้านหน้าได้ โดยให้กล้ามเนื้อหดตัว ทำให้เลนส์โป่งพองเพิ่มกำลังหักเหให้ดึงแสงที่ตกไปด้านหลังกลับมาด้านหน้าได้
 

แต่พอเข้าช่วงอายุ40 เวลาเรามองอะไรใกล้ๆ ร่างกายจะไม่ปรับโฟกัส กล้ามเนื้อไม่ยอมทำงานเพื่อดึงแสงกลับมาทั้งๆที่กล้ามเนื้อควรหดตัวและเลนส์ตาควรโป่งพอง พูดง่ายๆคือระบบโฟกัสขัดข้องครับ ส่งผลทำให้เวลามองอะไรใกล้ๆจะเบลอ เพราะแสงไม่ได้ตกอยู่บนจอเรตินา
 

มีวิธีแก้ไขคือใช้เลนส์นูนซึ่งมีกำลังขยาย ด้วยกำลังขยายนี้เราสามารถดึงแสงที่ถูกผลักไปด้านหลังกลับมาข้างหน้าได้ เลนส์นูนมีกำลังรวมแสงใช้แก้ไขสายตายาว และนี่คือที่มาของสายตายาว อ่านหนังสือครับ (คือความจริงมันเป็นสายตายาวนะครับ เพราะแสงตกไปด้านหลังเรตินาแล้ว แต่เป็นเฉพาะระยะใกล้)
 

แต่ว่า.....บางคนใส่แว่นอ่านหนังสือค้างไว้ เลนส์นูนมีกำลังรวมแสง แล้วเผลอเอาไปมองระยะไกล เมื่อแสงถูกดึงมาด้านน้าจอเรตินา จะทำให้ภาพมัว นี่คือสาเหตุทำไม ไม่สามารถเอาแว่นอ่านหนังสือไปใส่เดินได้ เพราะคุณกำลังมีสายตาสั้นอยู่
 

 
ถ้าต้องการมองไกลชัดก็แค่ถอดแว่นออก
 

 
ถ้าต้องการมองมือถือชัด ก็เอาแว่นอ่านหนังสือมาใส่ใหม่
เมื่อเราเข้าสู่วัยอายุ 40 ปีขึ้นไป เราจะสูญเสียความสามารถในการเพ่งระยะใกล้ ทำให้เราไม่สามารถมองชัดได้เหมือนสมัยหนุ่มสาว แต่ทว่าแว่นอ่านหนังสือนั้นยังไม่สามารถตอบโจทย์ของทุกคนได้ เนื่องจากมีระยะในการมองที่ค่อนข้างจำกัดและสามารถมองชัดได้แค่ระยะ 30-50 ซม.เท่านั้น เมื่อเรามองในระยะที่ไกลกว่านั้น ต้องถอดแว่นออก แล้วเวลาจะกลับไปเล่นไลน์ต้องใส่แว่นใหม่ ก็จะทำให้มีการฝืนของกำลังสายตามากกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุทำให้ค่าสายตาเพิ่มมากขึ้นมากกว่าวัยอันควร ดังนั้น เลนส์โปรเกสซีฟจึงได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของคนที่ต้องการความสบายสูงสุด
ภาษาแว่นๆ ระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะไกล คืออะไร ?
สำหรับคนที่เพิ่งมีสายตายาวไปร้านแว่นทีไรงงทุกที เผลอๆทะเลาะกับคนขายเพราะไม่เข้าใจอะไรคือระยะใกล้, ระยะกลาง หรือ ระยะทำคอม และระยะไกล บางที่ก็บอกจะเอาแว่นมองใกล้ หรือ มองไกล แล้วไอมองใกล้มองไกลคืออะไร
 

       ด้านบนเป็นภาพบอกระยะต่างๆเวลาไปทำแว่น ซึ่งหลายๆร้านคงใช้ความเข้าใจแบบนี้ ระยะในการมองหลักๆ มีอยู่ 4 ระยะ คือ ระยะใกล้, ระยะกลาง, ระยะสุดห้องประชุม และ ระยะไกล. ระยะใกล้คือระยะช่วงแขนของเรา ซึ่งยืดหยุ่น 35-45 ชม. ขึ้นอยู่กับช่วงแขนและกำลังสายตาของแต่ละคนนะครับ ส่วนระยะกลาง เป็นระยะเลยช่วงแขนเราไปซึ่งมักจะเป็นระยะจอคอมพิวเตอร์ จนถึงหลังคอมพิวเตอร์ ถ้าอยู่ในออฟฟิศ ก็ถึงสุดโต๊ะของเพื่อนข้างๆ เลย ต่อไประยะห้องประชุม เป็นระยะ ตั้งแต่ 120-400 ซม. ระยะไกลคือระยะ เกิน 6 เมตรขึ้นไป ง่ายๆครับ คือระยะมองวิวหรือสุดลูกตา
สรุปนะครับ มองใกล้คือมอง โทรศัพท์ หรือ เอกสาร, ระยะกลางคือระยะทำคอมพิวเตอร์, ระยะห้องประชุม คือระยะ 120-400 ชม. ระยะไกล คือ สุดลูกตา
 

แว่นมองไกลจะมองได้แค่ 2 ระยะเท่านั้น คือ ระยะห้องประชุม กับ ระยะสุดลูกตา
 

แว่นมองใกล้ จะมองได้แค่ช่วงแขนเราเท่านั้น ประมาณ 30-45 ซม.
 

 

เลนส์แบบ 2ชั้นก็มองได้เหมือนกัน แต่มีการกระโดดของภาพ
       เลนส์หนึ่งเดียวที่จะทำให้คุณสามารถมองชัดได้ทุกระยะเหมือนวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง หลักการของเลนส์ตัวชนิดนี้ คือ มีการซ้อนของค่ากำลังเลนส์หลายกำลังในเลนส์อันเดียว (กรุณาดูรูปด้านบนประกอบ, ในความเป็นจริงแล้วกำลังสายตาจะเป็นกำลังพันสายตาภายในเลนส์ชื้นเดียว รูปเป็นเพียง คอนเซ็บ เท่านั้น)ในลักษณะไร้รอยต่อ  ทำใหผู้ใส่สามารถปรับโฟกัสทุกระยะภายในเสี้ยววินาที  แตกต่างจาก เลนส์ Bifocal ที่ให้กำลังแค่สองระยะ ระยะไกลกับระยะใกล้ ทำให้ผู้ใส่ขาดความคมชัดที่ระยะกลาง(ระยะมองคอมพิวเตอร์) นอกจากนี้ยังโฟกัสที่กระโดดจากไกลไปใกล้ ใกล้ไปไกล  ขาดความนุ่มนวล อาจทำให้ไม่สบายตาและปวดหัวได้
       โดยเฉพาะท่านสุภาพสตรี เนื่องจากเลนส์มีรอยต่ออย่างชัดเจนทำให้ผู้ส่วมใส่สูญเสียความมั่นใจเพราะทำให้คนอื่นๆรู้ว่าเราอายุเกิน 40 แล้ว
ในแต่ในยุคแรกๆ ผู้ใส่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการใส่เท่าที่ควร จะสังเกตได้ว่าเลนส์โปรเกสซีฟสมัยเก่า มีมุมมองที่แคบ ทำให้ผู้ใส่ ปรับตัวได้ยาก การมองเห็นถูกจำกัด ทำให้ใส่แล้วไม่สบายตาปวดหัว หรืออาจจะไม่ต้องการใส่อีกเลย
 

แบบ มาตรฐาน
 

 
 
 
 Freeform Technology
  Freeform Technology
     เลนส์โปรเกสซีฟสมัยใหม่ เทคโนโลยี freeform ที่ใช้เข็มในการขัดตัวเลนส์ซึ่งทำให้ลบข้อด้อยของ swimming effect (การเหลือบมองแล้วเจอภาพเหมือนคลื่นทะเล)และ มุมบิดเบือนไปได้มาก ที่เกิดจากค่าสายตาที่เพิ่มมากขึ้น  เทคโนโลยี freeform ทำให้ได้มุมมองภาพที่กว้างกว่ามากเก่า 30-40% ผลที่ตามมาคือ ผู้ใส่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มองภาพได้อย่างเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญ เหนื่อย น้อยลง
เลนส์ Progressive ที่ทางร้านจำหน่าย




 
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการนำเสมอเท่านั้น และรูปเป็นเพียงตัวอย่างประกอบครับ